พระมหาธรรมราชาที่ 1
พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ
พระศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช หรือ
พระยาลิไทย[2](ครองราชย์
พ.ศ. 1890 -
พ.ศ. 1919) พระมหากษัตริย์อาณาจักรสุโขทัยราชวงศ์พระร่วงลำดับที่ 6 เป็นพระโอรส
พระยาเลอไทย และพระราชนัดดาของ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พระราชประวัติ
พระยาลิไทยเป็นกษัตริย์องค์ที 6 แห่ง
อาณาจักรสุโขทัย ขึ้นครองราชย์ต่อจาก
พระยางั่วนำถุม เดิมทรงปกครองเมืองศรีสัชนาลัย ในฐานะองค์อุปราชหรือรัชทายาท
เมืองสุโขทัย เมื่อปี
พ.ศ. 1882
เมื่อ
พระยาเลอไทยเสด็จสวรรคตใน
พ.ศ. 1884 พระยางั่วนำถุมได้ขึ้นครองราชย์จนเสด็จสวรรคตใน
พ.ศ. 1890
พระยาลิไทยโดยต้องใช้กำลังทหารเข้ามายึดอำนาจเพราะที่สุโขทัยเกิดการกบฏการ
สืบราชบัลลังก์ ไม่เป็นไปตามครรลองครองธรรม
พระยาลิไทยยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติได้ และขึ้นครองราชย์ใน
พ.ศ. 1890 ทรงพระนามว่า พระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลาจารึกมักเรียกพระนามเดิมว่า "พญาลิไทย" หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่ 1
พระราชกรณียกิจ
การศาสนา
พระยาลิไทยทรงเลื่อมใสใน
พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากนโยบายการปกครองที่ใช้
ศาสนา
เป็นหลักรวมความเป็นปึกแผ่นจึงเป็นนโยบายหลักในรัชสมัยนี้
ด้วยทรงดำริว่าการจะขยายอาณาเขตต่อไปเช่นเดียวกับในรัชการพ่อขุนรามคำแหง
พระอัยกา ก็จักต้องนำไพร่พลไปล้มตายอีกเป็นอันมาก
พระองค์จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะปกครองบ้านเมืองเช่นเดียวกับพระเจ้าอโศก
มหาราชที่ทรงปกครองอินเดียให้เจริญได้ด้วยการส่งเสริมพระพุทธศาสนา
และสั่งสอนชาวเมืองให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันจะเป็นวิธีรักษาเมืองให้ยั่งยืน
อยู่ได้
ทรงสร้างเจดีย์ที่เมืองนครชุม (
กำแพงเพชร) ผนวชในพระพุทธศาสนาเมื่อ
พ.ศ. 1905 ที่
วัดป่ามะม่วงการที่ทรงออกผนวช นับว่าทำความมั่นคงให้พุทธศาสนามากขึ้น ดังกล่าวแล้วว่า หลังรัชสมัย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว
บ้านเมืองแตกแยก วงการสงฆ์เองก็แตกแยก
แต่ละสำนักแต่ละเมืองก็ปฏิบัติแตกต่างกันออกไป
เมื่อผู้นำทรงมีศรัทธาแรงกล้าถึงขั้นออกบวช
พสกนิกรทั้งหลายก็คล้อยตามหันมาเลื่อมใสตามแบบอย่างพระองค์
กิตติศัพท์ของพระพุทธศาสนาในสุโขทัยจึงเลื่องลือไปไกล
พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายรูปได้ออกไปเผยแพร่ธรรมในแคว้นต่าง ๆ เช่น อโยธยา
หลวงพระบาง เมืองน่าน แม้แต่
พระเจ้ากือนาธรรมิกราชแห่ง
อาณาจักรล้านนาก็นิมนต์พระสุมณเถระจากสุโขทัยไปเพื่อเผยแพร่ธรรมที่ล้านนา
นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก ทรงอาราธนาพระสามิสังฆราชจากลังกาเข้ามาเป็น
สังฆราชใน
กรุงสุโขทัย เผยแพร่เพิ่มความเจริญให้แก่พระศาสนามากยิ่งขึ้น
ทรงสร้างและบูรณะวัดมากมายหลายแห่ง รวมทั้งการสร้างพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก
เช่น
พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระพุทธรูปองค์สำคัญองค์หนึ่งของประเทศคือ
พระพุทธชินราช ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
พระยาลิไทย ทรงปราดเปรื่องในความรู้ในพระพุทธศาสนา ทรงมีความรู้แตกฉานใน
พระไตรปิฎก พระองค์ได้ทรงแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่าย "
คามวาสี" และฝ่าย "
อรัญวาสี" โดยให้ฝ่ายคามวาสีเน้นหนักการสั่งสอนราษฎรในเมืองและเน้นการศึกษา
พระไตรปิฎก ส่วนฝ่ายอรัญวาสีเน้นให้หนักด้านการ
วิปัสสนาและประจำอยู่ตามป่าหรือชนบท ด้วยทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาตลอดพระชนม์ชีพ ราษฎรจึงถวายพระนามว่า "
พระมหาธรรมราชา"
พระยาลิไท ได้สร้างและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระธาตุช่อแฮ
(วัดพระธาตุช่อแฮพระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ปัจจุบัน) เมื่อปี
พ.ศ.๑๙๐๒
นอกจากศาสนาพุทธแล้ว พญาลิไทยยังทรงอุปถัมภ์
ศาสนาพราหมณ์ด้วยโดยทรงสร้าง
เทวรูปขนาดใหญ่หลายองค์ซึ่งยังเหลือปรากฏให้ศึกษาใน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติใน
กรุงเทพมหานครและที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
จังหวัดพิษณุโลก